คุมกำเนิดแบบฉีด
ยาฉีดคุมกำเนิด คือ ฮอร์โมนสังเคราะห์ ที่มีใช้ป้องกันการตั้งครรภ์ และถือได้ว่าเป็นยาคุมกำเนิด ที่มีประสิทธิภาพสูง สำหรับวิธีการใช้นั้น แพทย์จะ ฉีดยาคุมกำเนิดเข้าไปในกล้ามเนื้อมีหลายแบบทุก ๆ 1 เดือน หรือ ทุกๆ 3 เดือน จึงเป็นทางเลือกอีกทางหนึ่ง สำหรับผู้ที่มักจะลืมกินยาคุมได้เป็นอย่างดี ปัจจุบันยาฉีดคุมกำเนิดกำลังเป็นที่นิยมจากสตรีมากขึ้น เพราะมีความสะดวกสบาย ไม่ต้องกลัวลืม แต่ยาคุมไม่ว่าชนิดไหนๆก็มีผลข้างเคียงที่แตกต่างกันออกไป สำหรับยาคุมกำเนิดแบบฉีด มีข้อดีและข้อเสีย ดังนี้
ยาคุมกำเนิดแบบฉีด สามารถฉีดเมื่อไหร่ ?
วันที่ฉีดยาคุมกำเนิดจะต้องเริ่มฉีดยาภายใน 5 วันแรกของการมีประจำเดือน (เหมือนกับการรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิด) ส่วนสตรีหลังคลอดบุตร สามารถฉีดยาได้ทันทีหลังการคลอดหรือเริ่มฉีดยา DMPA หลังคลอดประมาณ 4-6 สัปดาห์ ส่วนสตรีแท้งบุตรให้ฉีดได้ทันทีหลังการแท้งหรือเมื่อตรวจติดตาม เมื่อถึงกำหนดฉีดยาในครั้งหน้าก็ต้องไปฉีดยาให้ตรงเวลาตามที่แพทย์นัด โดยไม่ต้องรอให้มีประจำเดือนมาครับ สำคัญมาก ๆ คือ “ห้ามรอจนกว่าจะมีประจำเดือนมาแล้วค่อยไปฉีด” เพราะอาจทำให้เกิดการตั้งครรภ์ได้โดยไม่รู้ตัว ดังนั้น ถึงเวลาครบกำหนดฉีดก็ต้องไปครับ ส่วนในรายที่ไม่ได้ไปฉีดยาตรงตามกำหนดหรือประจำเดือนหยุดเกิน 7 วัน แล้วจึงค่อยไปฉีด จะต้องระวังเรื่องการตั้งครรภ์โดยไม่รู้ตัวด้วย และควรใช้วิธีการคุมกำเนิดรูปแบบอื่นไปก่อน เช่น การใช้ถุงยางอนามัย หรือถ้ามีอาการแปลก ๆ เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ก็ควรไปตรวจปัสสาวะว่าตั้งครรภ์หรือไม่ด้วยเช่นกัน
ข้อดีของยาคุมกำเนิดแบบฉีด
- สามารถรับบริการได้ง่าย เนื่องจากวิธีการและอุปกรณ์สำหรับการให้บริการไม่ยุ่งยาก เลือกให้บริการแก่สตรีทั่วไปได้อย่างกว้างขวาง เพราะยาฉีดมีข้อห้ามในการใช้ยาน้อย
- มีประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดสูงมาก (มากกว่าหรือเทียบเท่ากับการรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิด)
- ราคาถูกเมื่อเทียบกับวิธีคุมกำเนิดแบบอื่น เช่น ยาเม็ดคุมกำเนิด หรือ การใส่ห่วงอนามัย
- ให้ความสะดวก ใช้งานง่าย ฉีดครั้งเดียวก็สามารถคุมกำเนิดได้นานถึง 3 เดือน โดยไม่ต้องใช้ทุกวันเหมือนยาเม็ดคุมกำเนิด
- ไม่ขัดขวางขั้นตอนต่าง ๆ ของการร่วมเพศ
- สามารถใช้ได้ดีในขณะให้นมลูก เพราะไม่ทำให้น้ำนมแห้ง
- การไม่มีประจำเดือนภายหลังการฉีดมีผลดีต่อสุขภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เป็นโรคโลหิตจาง
- มีผลพลอยได้ทางด้านสุขภาพอื่น ๆ หลายอย่างตามที่กล่าวมา
ข้อเสียของยาคุมกำเนิดแบบฉีด
- จะต้องเสียเวลาไปสถานที่รับบริการบ้างและอาจทำให้ลืมเวลานัดได้
- ต้องให้แพทย์ พยาบาล หรือบุคลากรทางสาธารณสุขเป็นคนฉีดยาให้
- ไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้
- ประจำเดือนอาจเปลี่ยนแปลง มาไม่สม่ำเสมอ มากะปริดกะปรอย หรือไม่มีประจำเดือน และหลาย ๆ รายอาจมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น
- เนื่องจากการที่มีเลือดออกแบบกะปริดกะปรอย (ในช่วงแรกของการฉีด หรืออาจจะหลายเดือน) จึงทำให้ต้องใส่ผ้าอนามัยอยู่ตลอดเวลา จะไม่ใส่ก็ไม่ได้ เพราะบางครั้งก็มาโดยไม่ได้นัดแนะ ปัญหาที่ตามมาก็คือทำให้เกิดความอับชื้น มีตกขาว เป็นต้น
- เมื่อเกิดอาการข้างเคียงจะต้องรอจนกว่ายาคุมจะหมดฤทธิ์ อาการถึงจะหายไปเอง
- เมื่อหยุดฉีดร่างกายจะยังไม่พร้อมมีลูกได้ทันที (มีลูกได้ช้ากว่าการคุมกำเนิดแบบอื่น) โดยอาจจะต้องรอไปเกือบ 1 ปี ทำให้บางคนเข้าใจผิดว่าการฉีดยานาน ๆ จะทำให้เป็นหมัน เรื่องนี้ไม่จริงครับ แต่อาจจะทำให้มีลูกได้ช้า ไม่ทันใจ คนที่ฉีดยาคุมกำเนิดจึงต้องวางแผนไว้อย่างดี เพราะไม่ใช่เมื่อพร้อมจะมีลูกก็จะหยุดฉีดแล้วจะมีได้ทันที แต่ต้องรอไประยะหนึ่งก่อนครับ เช่น บางคนฉีดยาไป 3 ปีกว่า กว่ายาจะหมดฤทธิ์ก็ต้องรอไปอีก 10 เดือน แต่ถ้าฉีดนานกว่านั้นก็อาจจะรอยาวนานขึ้นไปอีก โดย NET-EN จะทำให้ภาวการณ์เจริญพันธุ์กลับคืนมาเร็วกว่า DMPA สรุปคือ “การฉีดยาคุมกำเนิดไม่ทำให้มีบุตรยากหรือเป็นหมันแต่อย่างใด แต่จะทำให้มีบุตรได้ช้า เพราะฤทธิ์ยายังคงอยู่“
หากต้องการคุมกำเนิดแบบฉีด สามารถปรึกษาสูติแพทย์ หรือคลีนิคทางนรีเวชใกล้บ้านได้เลยค่ะ
บทความแนะนำเพิ่มเติม
เรียบเรียงโดย : Mamaexpert Editorial Team