แพทย์ชี้...เด็กยุคใหม่เก่งอย่างเดียวไม่ใช่คำตอบ เร่งสร้างภูมิคุ้มกันทางจิตใจ

24 September 2019
566 view

เพราะการเลี้ยงเด็กในปัจจุบันไม่ง่าย ไม่เพียงเด็กดื้อ เด็กเกเร สมาธิสั้น ยังมีทั้งเด็กขี้กลัว อ่อนแอ ขาดความมั่นใจ ฯลฯ เป็นปัญหาที่พ่อแม่ต้องพบเจอและตีโจทย์ให้แตกเพื่อให้เข้าใจในบุตรหลานของตนเอง และช่วยปรับพฤติกรรมให้ลูกมีพัฒนาการทางการทางอารมณ์ได้อย่างเหมาะสม สามารถรับมือกับสิ่งเร้าหรือภาวะที่ยากลำบากเมื่อต้องเจอะเจอในวันข้างหน้าได้เป็นอย่างดี

พญ.สุรางคณา เตชะไพฑูรย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม รพ.สมิติเวช และ รพ.บีเอ็นเอช และผู้อำนวยการ รพ.เด็กสมิติเวช บอกว่า ยุคนี้เปลี่ยนแปลงไปค่อนข้างมาก เด็กเกิดมาไม่เคยต้องรอ อยากกินอะไรสามารถสั่งซื้อมาได้เลย ถูกปลูกฝังมาตลอด เคยชินกับการไม่ต้องคอย ไม่อดทน ไม่ต้องรอ แต่ชีวิตไม่ได้มีแต่สีชมพู ข้างนอกมีสีอื่นด้วย มีการแข่งขัน ถ้าเจอเพื่อนล้อจะยืนหยัดได้ไหม เมื่อก่อนจะมีแต่ ไอคิว อีคิว แต่ปัจจุบันมี อาร์คิว จะทำอย่างไรให้เขายืนหยัดและยืดหยุ่นได้

          เด็กในกรุงเทพฯ มีความอดทนน้อยกว่าเด็กชนบท ถึง 2 เท่า  เพราะสภาพแวดล้อมและชีวิตความเป็นอยู่ของสังคมเมือง การเลี้ยงดูที่สุขสบาย พ่อแม่ปกป้องลูกมากเกินไป มีเทคโนโลยีต่างๆ ที่ทำให้ใช้ชีวิตง่ายขึ้น เร็วขึ้น ทำให้เด็กไม่ต้องทนรออะไร อยากพูดอยากแสดงออกก็สามารถทำได้ทันทีโดยไม่ต้องคิดถึงผลกระทบต่อคนอื่น  การแก้ปัญหานี้แต่ต้นมือจึงเป็นเรื่องจำเป็น โดยต้องเร่งพัฒนา อาร์คิว” (Resilience Quotient) หรือความฉลาดทางอารมณ์ที่จะช่วยให้เด็กสามารถปรับตัวในสภาวะที่ยากลำบาก เป็นเรื่องสำคัญสำหรับยุคนี้” 

สำหรับ “อาร์คิว” เป็นผลลัพธ์พัฒนาการของ “อีเอฟ” (Executive Functions – EF) ซึ่งเป็นกระบวนการทางความคิดในสมองส่วนหน้าที่เกี่ยวข้องกับการคิด ความรู้สึก และการกระทำ เช่น การยับยั้งใจคิดไตร่ตรอง การควบคุมอารมณ์ การยืดหยุ่นทางความคิด การตั้งเป้าหมาย วางแผน ความมุ่งมั่น การจดจำและการเรียกใช้ข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนการจัดลำดับความสำคัญของเรื่องต่างๆ และการกระทำสิ่งอย่างเป็นขั้นตอนจนบรรลุความสำเร็จ 

 นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ ผู้อำนวยการ Samitivej Parenting Center บอกว่า พ่อแม่ปัจจุบันไม่ได้รับการศึกษาให้ดูแลลูก เราเลี้ยงลูกตามที่เคยเลี้ยง เลี้ยงลูกตามตำราตามโซเชียลบอก ผมเองกว่าจะเป็นจิตแพทย์เด็กได้ก็เป็นแพทย์และศึกษามา 12-13 ปี

“เด็กมีความเก่งอย่างเดียวไม่ใช่คำตอบในยุคนี้แล้ว แต่เด็กต้องเติบโตมาด้วยคุณภาพทางอารมณ์ด้วย”

ด้วยตระหนักถึงปัญหาดังกล่าว โรงพยาบาลเด็กสมิติเวชซึ่งมีวิสัยทัศน์ที่จะดูแลเด็กแบบ Total Health Solution หรือการดูแลทั้งด้านร่างกายและจิตใจ ด้วยกุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ กว่า 150 คน จึงจัดตั้ง Samitivej Parenting Center ขึ้นเพื่อดูแลเด็กๆ ไม่เพียงแค่การรักษาอาการทางกาย แต่เป็นศูนย์ในการรวมพลังของแพทย์และพ่อแม่ผู้ปกครองในการเรียนรู้วิธีรับมือกับลูกอย่างมีแบบแผนถูกต้องและตรงจุด

“รพ.สมิติเวช จะเป็นแหล่งองค์ความรู้ทางการแพทย์จริงๆ จะเป็นที่พึ่งพาการเลี้ยงดูบุตรหลาน ช่วยให้พ่อแม่มองเห็นปัญหาของลูกตั้งแต่ต้นและรีบจัดการโดยได้รับคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนที่จะแก้ไขไม่ได้ รวมทั้งช่วยกันสร้างภูมิคุ้มกันให้ลูกหลานพร้อมที่จะเติบโตอย่างมีคุณภาพ” 

นพ.ธีระเกียรติ บอกว่า “อีเอฟ” เป็นสิ่งสำคัญ และมีพัฒนาการด้วย 2 ปัจจัย คือ ตามพันธุกรรม และพฤติกรรมการเลี้ยงดู บางครั้งเด็กค่อยๆ มีพัฒนาการของอีเอฟไปเรื่อยๆ แต่สวนทางกับผู้เป็นพ่อแม่ก็มี นั่นเพราะสิ่งเร้าอยู่รอบข้าง การหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่ทำให้เกิดพฤติกรรมบางอย่าง เช่น ดิ้นร้องไห้ ดื้อ ฯลฯ การเบี่ยงเบนความสนใจ รวมทั้งสร้างบรรยากาศ การให้รางวัลเมื่อเกิดพฤติกรรมที่ต้องการให้เกิดเป็นแรงเสริมที่มีอิทธิพลที่สุดในสร้างอีเอฟที่ดีให้กับเด็ก

จากคุณหมอมาฟังประสบการณ์ของดาราสาวคุณแม่ลูกสอง นิหน่าสุฐิตา ปัญญายงค์ เล่าว่า เมื่อครั้งที่ลูกยังเล็กทุกครั้งที่ลูกร้องไห้จะกังวลใจเพราะไม่ทราบว่าสาเหตุมาจากอะไร ต้องเปิดแอพพลิเคชั่นเทียบเสียงร้องแปลความต้องการของลูก ตอนนั้นรู้สึกสิ้นหวังมาก สุดท้ายก็ค่อยๆ เรียนรู้ไปกับลูก ภายหลังเมื่อได้รู้จักพูดคุยกับหมอ เมื่อกังวลใจกับพฤติกรรมของลูกจะปรึกษาคุณหมอตลอดกระทั่งเพื่อนๆ มองว่าเป็นคนติดหมอ การที่มี Samitivej Parenting Center น่าจะเป็นสิ่งดีกับพ่อแม่ เมื่อสงสัยสิ่งใดสามารถขอความเห็นจากคุณหมอได้

ทางด้าน เพ็ญดาว ชินมหาวงศ์ คุณแม่วัย 29 ปี เจ้าของเพจ Heartcore Mom บอกว่าตั้งใจมาฟังการบรรยายเพื่อนำสาระไปสรุปเป็นไกด์ให้กับพ่อแม่ลูกเพจ เพราะมองว่าเรื่องอีเอฟเป็นสิ่งสำคัญที่พ่อแม่สามารถนำไปใช้กับลูกได้ “การมาฟังบรรยายครั้งนี้ได้ความรู้อย่างมาก โดยเฉพาะเรื่องอีเอฟ เคยได้ยินแต่ไม่รู้ในรายละเอียด ครั้งนี้ได้รู้จักว่าอีเอฟคืออะไร และเราสามารถจัดการกับอีเอฟให้ลูกได้อย่างไรบ้าง ซึ่งมันใช้ได้ผลจริง”

เช่นเดียวกับ ศุภลักษณ์ เจริญเศรษฐศิลป์ วัย 42 ปี ที่บอกว่าตั้งใจมาฟัง นพ.ธีระเกียรติ บรรยายเพื่อเก็บเกี่ยวความรู้ไปเป็นคำตอบให้กับบางคำถามที่ตนเองสงสัย เช่นพฤติกรรมของหลานที่มุ่งมั่นกับการเรียนอย่างมากและตลอดเวลา กระทั่งมองข้ามความสำคัญของสิ่งอื่นๆ ในชีวิตไป

ทั้งนี้ Samitivej Parenting Center  จะเปิดโปรแกรมสำหรับพ่อแม่และผู้ปกครองเพื่อการรักษาเด็กสมาธิสั้น (ADHD) และเด็กดื้อ(ODD) อายุระหว่าง 2-12 ปี โดยเป็นการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการที่มีโครงสร้างลักษณะเฉพาะและมีแบบแผนชัดเจนอิงตามแนวทางของ Russell A.Barkley ศาสตราจารย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านสมาธิระดับโลก โดยพ่อแม่และผู้ปกครองจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับ เรื่องโรคสมาธิสั้น และพฤติกรรมดื้อต่อต้าน อย่างครบวงจร อาทิ ฝึกสร้างความสัมพันธ์เชิงบวกกับลูก ฝึกการออกคำสั่งแบบมีประสิทธิภาพ ฝึกทักษะการปรับพฤติกรรม การเลือกโรงเรียน การรักษาโรคสมาธิสั้น ผู้ที่สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 02-378-9125