เพมฟิกอยด์ในเด็ก
ช่วงก่อนหน้านี้ หลายคนเคยเห็นข่าวของนักแสดงชาย คุณวินัย ไกรบุตร ป่วยด้วยโรคประหลาด มีตุ่มน้ำพองทั่วร่างกาย จริงๆแล้วไม่ใช่โรคใหม่ หรือไม่ใช่โรคประหลาดอะไรค่ะ เป็นโรคตุ่มน้ำที่มีอยู่แล้ว เพียงแต่เกิดได้น้อย ทำให้หลายคนยังไม่รู้จักโรคนี้
เพมฟิกอยด์ในเด็กคือโรคอะไร...มาทำความรู้จักกัน!!!
เพมฟิกอยด์ (Bullous pemphigoid) เป็นโรคในกลุ่มตุ่มน้ำพองที่ผิวหนัง ในเด็กพบไม่บ่อยค่ะ และส่วนมากเป็นในเด็กอายุน้อยกว่า 1 ปี
สาเหตุเกิดจาก ความผิดปกติในการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน เรียกง่ายๆ ว่าภูมิคุ้มกัน error ค่ะ ทำให้เกิดการทำลายโปรตีนที่ยึดผิวหนังในชั้นหนังกำพร้าและหนังแท้ไว้ด้วยกัน ผิวหนังจึงแยกตัวจากกันโดยง่าย เกิดเป็นตุ่มพองตามร่างกาย
เพมฟิกอยด์ในเด็กมีลักษณะอย่างไร?
ลักษณะของโรคเพมฟิกอยด์ จะเป็นตุ่มน้ำพอง ที่ผิวหนัง อาจพบได้ที่บริเวณมือและเท้า และเยื่อบุต่างๆ ได้ เช่น ปาก หลอดอาหาร ช่องคลอด ทวารหนัก
เพมฟิกอยด์ในเด็ก โรคที่พบได้น้อยในเด็กแต่รักษาได้
ยาหลักที่ใช้รักษาเพมฟิกอยด์ในเด็ก คือ การทายาเสตียรอยด์ในเด็กที่มีตุ่มน้ำเฉพาะที่ แต่หากมีตุ่มน้ำปริมาณมาก ต้องมียาเสตียรอยด์รับประทาน หรือร่วมกับยากดภูมิต้านทาน เนื่องจากโรคนี้เกิดจากภูมิต้านทานทำงานผิดปกติ โดยข่าวดีของผู้ป่วยเพมฟิกอยด์ในเด็ก คือ ตอบสนองดีต่อการรักษามากกว่าผู้ใหญ่ ส่วนใหญ่หายภายใน 1 ปี ค่ะ
เพมฟิกอยด์ในเด็ก เป็นแล้วให้ปฏิบัติตามนี้!!!
คำแนะนำในการปฏิบัติตัวเมื่อเป็นโรคเพมฟิกอยด์ในเด็ก
สำหรับตุ่มน้ำตามร่างกาย
- ควรทำความสะอาดร่างกายอย่างสม่ำเสมอ บริเวณที่เป็นแผลให้ใช้น้ำเกลือทำความสะอาด
- ไม่ควรเปิดแผลบ่อย ๆ เพราะจะทำให้ผิวหนังหลุดถลอก
- ไม่แกะเกา เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ
- หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักๆ ไม่ควรใส่เสื้อผ้ารัดคับ เพื่อลดการถลอกที่ผิวหนัง
- หลีกเลี่ยงแสงแดด และความเครียด ซึ่งเป็นปัจจัยกระตุ้นที่สำคัญ
- หลีกเลี่ยง การประคบหรือพอกแผลด้วยสมุนไพร หรือยาใด ที่แพทย์ไม่ได้เป็นผู้สั่ง
สำหรับตุ่มน้ำแตกเป็นแผลในปาก
- ใช้น้ำเกลือ (Normal saline) อมกลั้ว บ้วนปากบ่อย ๆ หรือทุกครั้งหลังรับประทานอาหาร
- หลีกเลี่ยงการใช้น้ำยาบ้วนปากหรือยาฆ่าเชื้อในช่องปากที่เข้มข้น
- แปรงขนอ่อนทำความสะอาดลิ้นและฟัน หลีกเลี่ยงการแปรงฟันแรงๆ เนื่องจากจะทำให้แผลถลอกมากขึ้น
- งดอาหารรสจัด โดยเฉพาะอาหารเผ็ดหรือเปรี้ยว จะทำให้แสบหรือเจ็บแผลมากขึ้น
- งดรับประทานอาหารแข็ง เช่น ถั่ว ของขบเคี้ยว เนื่องจากอาจกระตุ้นการหลุดลอกของเยื่อบุในช่องปาก
สำหรับผู้ป่วยเด็กที่ทานยากดภูมิต้านทาน ทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายลดลง ดังนั้นผู้ป่วยจึงควรปฏิบัติตัว ดังนี้
- ถ้ามีอาการที่บ่งถึงการติดเชื้อ เช่น ไข้สูง ไอ ปัสสาวะแสบขัด ถ่ายเหลว ควรพาไปพบแพทย์โดยเร็ว
- ไม่รับประทานอาหารสุกๆ ดิบๆ หรือไม่สะอาด
- ผู้ป่วยที่ได้รับยาเพรดนิโซโลน ถ้ามีอาการปวดท้อง อุจจาระดำ หรืออาเจียนเป็นเลือด ควรรีบพบแพทย์
- ควรพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
- ดื่มนมสด หรือ รับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง เพื่อป้องกันภาวะกระดูกพรุนจากยา
ทั้งนี้สิ่งสำคัญ ควรพาผู้ป่วยมารักษาอย่างต่อเนื่อง มาตามแพทย์นัดสม่ำเสมอ ทานยาต่อเนื่อง อย่าลดหรือเพิ่มยาเอง ดูแลแผลอย่างถูกวิธี จะช่วยให้โรคสงบได้เร็วขึ้น ทำให้ผู้ป่วยสามารถดำรงชีวิตได้เหมือนคนปกติทั่วไป ไม่มีรอยโรคใหม่เกิดขึ้นได้ค่ะ
บทความโดย: พญ.พรนิภา ศรีประเสริฐ (กุมารแพทย์)
ติดตามเรื่องเด็กๆ by หมอแอม ตอบทุกปัญหาเกี่ยวกับเด็ก
ในรูปแบบ VDO "ทุกวันพฤหัสบดี" ได้ที่ ช่อง youtube : Mamaexpert official